.
.
ได้ยินกันมาเยอะแล้วว่าทำเกษตรต้องพอเพียงพึ่งตน ซึ่งก็คงจะไม่นำมาย้ำซ้ำที่นี่อีกเพราะผมเองก็รู้สึกเฝือเต็มทนแล้วเหมือนกัน แต่ก็มีประเด็นสำคัญอยู่อย่างที่ไม่อยากให้ละเลยกันไป เพราะจากประสบการณ์ของตัวเอง การที่เราจะเดินไปสู่จุดนั้นได้ต้องมีฐานคิดทางพุทธศาสนาคอยประคับประคองค้ำยันไว้พอสมควรอยู่เหมือนกัน เท่าที่นึกได้ทันทีขณะนี้ก็คือ “มักน้อย-สันโดษ” (สองคุณลักษณะนี้ปรากฏอยู่ใน “วรรณะ ๙” ของพุทธศาสนาอันได้แก่ ‘อัปปิจฉะ’ และ ‘สันตุฏฐิ’ สนใจก็ลองศึกษาหาเอาเองนะครับ)
“ความมักน้อย” ถ้าจะให้นิยามก็ตามพยัญชนะนั่นเอง คือ ชอบน้อย ๆ เอาไว้กับตัวเองให้น้อย ๆ ไม่ใช่ชอบของกระจุ๋มกระจิ๋มชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือพวกคิดเล็กคิดน้อยนะ น่าจะเป็นประเภทคิดใหญ่ที่แม้จะทำเล็ก แต่ให้ใคร ๆ เยอะ เอาไว้แต่น้อย อย่างนี้เสียมากกว่า ซึ่งการทำการเกษตรถ้ามีความมักน้อย เราจะนึกถึงตัวเองน้อยลง นึกถึงคนอื่นมากขึ้น วิธีการผลิตของเราก็จะเบียดเบียนน้อยลง ผลผลิตของเราก็จะมีคุณค่า มีคุณธรรม ผู้บริโภคที่รู้คิดย่อมไม่อยากให้สินค้าดีดีอย่างนี้หายไปจากท้องตลาด การเกื้อหนุนจุนเจือกันก็จะเกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอไม่ขาดสาย
อีกคำคือ “สันโดษ” ความเข้าใจในสันโดษโดยทั่วไปจะออกไปทางปลีกเปลี่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่น่าจะใช่!?! อธิบายง่าย ๆ ด้วยวรรคทองที่คุ้นหูกันมานานว่า “จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี” นี่แหละสันโดษ เพราะสันโดษคือความพอที่ใจ ด้วยไม่มีปัญญาบารมีพอที่จะอธิบายอย่างกระจ่างได้ จึงขอยกคำพระมาอรรถาธิบายแทนน่าจะถูกต้องเป็นประโยชน์กว่า ท่านสมณะโพธิรักษ์ได้เขียนไว้ในหนังสือ “วิถีพุทธ” เกี่ยวกับความสันโดษไว้ดังความตอนหนึ่งว่า
.
“… ๔. เป็นคนใจพอหรือสันโดษ (สันตุฏฐิ) ได้แก่ คนที่ได้ฝึกหัดลดละความเสพความติดของตนลงมาตามลำดับ เช่น เราเคยกินวันละ ๓ มื้อ แล้วตั้งใจลดน้อยลงมากินวันละ ๒ มื้อ หรือเคยใช้เงินเดือนละห้าพัน ก็ตั้งใจลดน้อยลงมาใช้สามพันให้พอ เป็นต้น จนสามารถทำได้โดยภาวะจิตใจนี่แหละจะมีความเจริญขึ้นเป็น “สันโดษ” คือ ใจมันจะมี “ความพอ” กับสิ่งที่เป็นที่มี จะมีความทนได้ มีปัญญาฉลาดรู้ว่า “๒ มื้อ” หรือ “ใช้เดือนละสามพัน” เราสามารถทำได้ “พอ” จริง ๆ และมีปัญญาเห็นผลดี เห็นจิตใจระงับ เห็นจิตใจไม่ต้องทน ไม่ต้องทุกข์ จิตสันโดษเพราะใจมันพอจริง ๆ เพราะมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในความหลงโลก และได้ลดละกิเลสตัวติดยึดตามโลกสำเร็จจริง …”
.
ความก็อย่างที่ยกมา เกษตรกรที่สมาทานสันโดษ การยึดติดจะลดลง หยุดเป็น ยั้งได้ เป็นได้เช่นนี้เราก็จะไม่นำพาตัวเองเข้าไปสู่วังวนอุปถัมภ์ของใคร ปัญหาเดือดร้อนดิ้นรนในเรื่องหนี้สินหรือถูกเอารัดเอาเปรียบก็จะค่อย ๆ หายไปจากชีวิตของเกษตรกรได้ในที่สุด
จะว่าไปแล้วทุกหลักธรรมคำสอนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งนั้น แต่ที่เน้นสองข้อที่ว่าเพราะเกษตรกรเราเป็นต้นทาง ทุกอย่างที่ออกจากมือเรามีผลกระทบกับทุกชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม ฉะนั้น การให้ไปมากกว่าเอาไว้ประกอบกับความพอแล้วของจิตใจ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นหัวจักรลากจูงโบกี้ชีวิตเกษตรกรไปสู่จุดหมายได้โดยสวัสดิภาพทั้งตัวเราและใคร ๆ เขาที่ร่วมขบวน
ยากครับกับการอธิบายธรรมเพราะสภาวะเราไม่ถึง ก็เอาแค่พอถูไถแล้วไปขวนขวายขยายต่อกันเอาเอง มีตัวอย่างการเปรียบเทียบวิถีเกษตรที่คล้องคลอไปกับพุทธวิถีได้อย่างน่าสนใจ อาจจะด้วยเคยลงมือทำ จึงทำให้เข้าใจได้ง่าย เป็นบางช่วงบางตอนจากหนังสือ “น้ำหมักชีวภาพและจุลินทรีย์พื้นบ้าน” โดย ชุมชนสหกรณ์บุญนิยมราชธานีอโศก (สามารถหาซื้อได้ที่ ธรรมทัศน์สมาคม ครับ) หน้าที่ ๓๐ บอกไว้ว่า …
.
“… พูดถึงการทำกสิกรรมธรรมชาติหลายคนที่ทำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ก็คงจะเหนื่อยและท้อถอยไปบ้าง จึงอยากจะนำเสนอการทำกสิกรรมธรรมชาติแบบพุทธโอวาทปาติโมกข์บ้าง กล่าวคือ เริ่มตั้งแต่ “สัพพปาปัสสะอกรณัง” ไม่นำสิ่งที่เป็นพิษลงไปในดิน ซึ่งจะทำให้สิ่งที่มีชีวิตในดินตาย โดยเฉพาะจุลินทรีย์ที่สร้างสรรค์สิ่งดีให้แก่ดิน แต่จะส่งเสริมสิ่งมีชีวิตที่สร้างความเสื่อมโทรมให้ดิน ดังนั้นเราต้องปราบอกุศลก่อน คือ จุลินทรีย์กลุ่มทำลายที่อยู่ในดินบริเวณนั้นก่อน โดยการเลิกนำสารเคมีทุกชนิดมาลงในพื้นที่ และนำจุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์มาครองพื้นที่แทน แล้วสรรพชีวิตในดินจะเปลี่ยนไปตามกระแสระบบวงจรการสร้างสรรค์ มิฉะนั้นแล้วปุ๋ยและอินทรียวัตถุที่ท่านนำมาใส่ลงดินก็เท่ากับขนเสบียงอาหารมาให้โจรร้ายขยายอาณาเขตและเพิ่มพลพรรคมากขึ้นไปอีก เปรียบเหมือนคนเราที่ตกอยู่ใต้อารมณ์ของกิเลสที่ถูกเร้าด้วยการโฆษณา การกระทำทุกอย่างแม้จะออกมาดูเหมือนดี แต่ก็เป็นไปเพื่อเสริมกิเลสให้โตขึ้น
พร้อมกันนั้นเราต้องทำ “กุสลัสสูปสัมปทา” ไปพร้อม ๆ กันด้วย กล่าวคือ ต้องนำสิ่งดีคืนสู่ดินด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมให้ดิน โดยการนำเอาอินทรียวัตถุที่เรามีในพื้นที่มาปกคลุมดินเพื่อป้องกันจุลินทรีย์จากการถูกแดดเผาตาย และปลูกพืชหมุนเวียนลงไปโดยไม่ต้องลงทุนไปขนอินทรียวัตถุจากแหล่งอื่น ซึ่งขอบอกว่า อาหารและแร่ธาตุในดินนั้นพอเพียงสำหรับพืช ถ้าไม่ถูกจุลินทรีย์กลุ่มทำลายแย่งไปกินเสียก่อน เมื่อเราสร้างระบบห่วงโซ่อาหารให้ดำเนินไปในทิศทางสร้างสรรค์และต่อเนื่อง นี่คือมรรควิธีที่จะเดินไปสู่ “สจิตตปริโยทปนัง” เนื่องจากเราเข้าใจผิดคิดว่า การทำกสิกรรมธรรมชาติคือไม่ทำอะไรเลย จึงเกิดทางสุดโต่ง ๒ ทาง คือ ทางหนึ่งเดินไปสู่เส้นทางของฤๅษี กล่าวคือ ไม่ทำอะไรเลย รอให้ดินผลิตอาหารและพืชขึ้นมาเอง อย่างดีก็แค่หว่านหรือหยอดเมล็ดลงไป รอให้ดินบันดาลผลเองและอดทนรอคอยเท่าที่จะรอได้ เมื่อรอไม่ไหวแล้วก็ตบะแตกจึงไปขนปุ๋ยและอินทรียวัตถุมาใส่ให้มาก ๆ โดยไม่รู้ว่ามีโจรคือ จุลินทรีย์กลุ่มทำลายนั่งยิ้มรอกินอินทรียวัตถุอยู่ เปรียบเหมือนเดินทางไปสายพระเจ้า คือ ไม่ฆ่าอกุศลก่อน มุ่งจะทำแต่กุศลให้มาก ๆ อาจจะดูดีแต่เมื่อหมดอุตสาหะทำดีลงเมื่อใด อกุศลก็จะกลับมาครอบครองหัวใจดังเดิม ถ้าเราเดินทางสู่มรรควิธีกสิกรรมแบบพุทธแล้ว เราก็จะมีอันหวังได้ว่าจะเจริญไปตามลำดับเท่าที่เราจะมีความเพียร…”
.
พระพุทธองค์ทรงชี้แนะแนวทางแก้ไขปัญหาทุกปัญหาในโลกนี้ให้สำเร็จเสร็จสิ้นลงได้โดยใช้ “อริยสัจ ๔” เป็นยุทธศาสตร์ แลใช้ “มรรคมีองค์ ๘” เป็นยุทธวิธี ทบทวนดูทีสิว่า ดีแค่ไหนแล้วที่พุทธศาสนาได้หยั่งรากมั่นคงบนผืนแผ่นดินไทย บุญแค่ไหนแล้วที่เรามีองค์ภูมิพลคอยรดน้ำพรวนดินสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ต้นกล้าประชาไทย
แล้วเราจะไม่เห็นคุณค่าแห่งรากธรรม มิหนำซ้ำยังปล่อยให้พระองค์ทรงเหนื่อยเปล่าได้ลงคอเลยเชียวหรือ?
.
……………
.
ปล.๑ นึกเขียนเรื่องนี้เพราะสภาพสังคมไทย ณ ขณะเขียน มันเกินจะแก้ด้วยวิธีทางโลกแล้ว วิถีธรรมจึงน่าจะเป็นทางรอดสุดท้ายของสังคม … ผมคิดอย่างนั้น
ปล.๒ ตัวผมเองสมาทานวิถีพุทธของ ‘อโศก’ ด้วยคล้องกับวิถีชีวิต กิจวัตร และถูกจริตตนเป็นสำคัญ มิได้ปฏิเสธพุทธกระแสหลักแต่ประการใด และขออภัยถ้าได้สร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับผู้ใด
.